เปิดโปง ปตท การผูกขาดธุรกิจโรงกลั่นน้ำมันของปตท.?

202074

ข้อกล่าวหาหนึ่งเกี่ยวกับการผูกขาดธุรกิจพลังงานของปตท.ที่มีการหยิบยกขึ้นมาพูดถึงตลอดเวลาก็คือรัฐบาลได้ให้ปตท.เข้าไปถือหุ้นในโรงกลั่นน้ำมันเกือบทุกแห่งในประเทศ(ห้าในหกแห่ง)ทำให้ปตท.มีอำนาจในการควบคุมการบริหารจัดการโรงกลั่นน้ำมันในประเทศเกือบทั้งหมด ก่อให้เกิดการผูกขาดในธุรกิจการกลั่นน้ำมันและการสั่งน้ำมันดิบจากต่างประเทศซึ่งเป็นสาเหตุประการหนึ่งที่ทำให้น้ำมันที่ขายในประเทศมีราคาแพงและทำให้หลายฝ่ายต่างออกมาเปิดโปง ปตทและหยิบยกอีกหลายๆ ประเด็นมาพูดถึงเพราะเนื่องจากมีการผูกขาดตัดตอนเรื่องการผูกขาดธุรกิจพลังงานของประเทศโดยปตท.นั้นเป็นเรื่องที่ติดพันกันมานานตั้งแต่ปตท.ยังมีฐานะเป็นรัฐวิสาหกิจเต็มตัวและเข้าไปทำธุรกิจพลังงานในฐานะตัวแทนของรัฐบาลดังนั้นจึงได้รับสิทธิพิเศษต่างๆในฐานะบริษัทน้ำมันแห่งชาติซึ่งก็เป็นเช่นนี้ในทุกประเทศที่มีการจัดตั้งบริษัทน้ำมันแห่งชาติขึ้นเพื่อมาดูแลผลประโยชน์ด้านพลังงานให้แก่รัฐ

แต่อย่างไรก็ตามเมื่อมีการแปรรูปปตท.เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์และมีการขายหุ้นบางส่วนให้กับเอกชนทุกฝ่ายรวมทั้งปตท.ก็เห็นด้วยว่าควรจะลดการผูกขาดลงโดยเฉพาะในธุรกิจก๊าซธรรมชาติซึ่งคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงานก็กำลังพิจารณาที่จะให้มีเปิดเสรีมากขึ้นโดยอาจให้เริ่มในกิจการท่อส่งก๊าซและการนำเข้าก๊าซจากต่างประเทศก่อนแต่ในส่วนของธุรกิจการกลั่นน้ำมันซึ่งได้มีการกล่าวอ้างว่ามีการผูกขาดโดยปตท.มากถึง  83% ของกำลังการกลั่นทั้งหมด (โดยคิดง่ายๆว่าปตท.ถือหุ้น 5 ใน 6 โรงกลั่น = 83%) นั้น ผมคิดว่าเป็นการกล่าวอ้างที่ง่ายเกินไปและไม่มีเหตุผลรองรับอย่างเพียงพอ

จากการเข้าไปปรับปรุงกิจการของโรงกลั่นเหล่านี้ ทำให้ปัจจุบันปตท.ถือหุ้นในโรงกลั่นต่างๆดังนี้

  • ไทยออยล์  49.1%
  • PTTGC 48.9%
  • IRPC 38.5%
  • SPRC 36.0%
  • BCP 27.2%

จะเห็นว่าโดยนิตินัยแล้ว ไม่มีโรงกลั่นใดเลยที่ปตท.ถือหุ้นเกิน 50% แต่แน่นอนว่าเราคงจะใช้จำนวนหุ้นเพียงอย่างเดียวมาเป็นตัววัดว่าปตท.มีอำนาจครอบงำการบริหารหรือไม่คงไม่ได้ คงต้องพิจารณาด้วยว่าปตท.เป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ที่สุดในบริษัทหรือไม่และมีอำนาจในการบริหารจัดการในบริษัทเด็ดขาดหรือไม่โดยเฉพาะในการกำหนดตัวหรือแต่งตั้งผู้บริหารระดับกรรมการผู้จัดการหรือประธานเจ้าหน้าที่ผู้บริหาร (CEO)ซึ่งถ้าเราใช้เกณฑ์นี้มาวัดการครอบงำการบริหารของปตท.ในโรงกลั่นต่างๆห้าแห่งที่ปตท.ถือหุ้นอยู่เราจะพบว่าปตท.มีอำนาจในการบริหารโรงกลั่นจริงๆเพียงสามแห่งเท่านั้นคือไทยออยล์ (TOP), PTTGC และ IRPC เพราะทั้งสามแห่งนี้ปตท.เป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ถึงแม้จะไม่ใช่เป็นผู้ถือหุ้นเสียงข้างมากแต่เป็นผู้มีอำนาจในการบริหารจัดการอย่างแท้จริงสามารถส่งคนของตนเข้ามาเป็นผู้บริหารระดับสูงสุด (CEO) ได้ส่วนอีกสองแห่งคือ SPRC และ BCP นั้นปตท.เป็นแต่เพียงผู้ถือหุ้นเสียงข้างน้อย โดยในกรณีของ SPRC นั้นชัดเจนว่า Chevron ซึ่งเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ถึง 64% เป็นผู้มีอำนาจในการบริหารจัดการโรงกลั่นโดยการคัดเลือกและแต่งตั้งผู้บริหารก็ทำโดยคณะกรรมการบริษัท 9 คนซึ่งส่วนใหญ่เป็นคนของ Chevron (ปตท.มีตัวแทนอยู่ในคณะกรรมการบริษัทเพียง 2 คน) CEO ก็เป็นคนของ Chevronส่วนบางจากนั้นผู้ถือหุ้นใหญ่คือประชาชนซึ่งถือหุ้นบางจากมากถึง 62.8% จึงทำให้บางจากมีลักษณะพิเศษคือเป็นบริษัทมหาชนจริงๆและแม้ปตท.จะถือหุ้นบางจากในสัดส่วนสูงถึง 27.2% และถือว่าบางจากเป็นบริษัทในเครือปตท.แต่ปตท.ก็ไม่ได้มีอำนาจบริหารจัดการในบางจากแม้แต่การแต่งตั้งกรรมการผู้จัดการใหญ่ของบางจากก็มีการดำเนินการเป็นอิสระผ่านคณะกรรมการสรรหาและได้ลูกหม้อซึ่งเป็นพนักงานของบางจากมาเป็นกรรมการผู้จัดการใหญ่สองคนติดต่อกัน โดยปราศจากการแทรกแซงจากปตท.แต่อย่างใดอีกทั้งปตท.ยังมีตัวแทนนั่งอยู่ในคณะกรรมการบริษัทเพียงสองคนเท่านั้นจากจำนวนกรรมการทั้งหมด 14 คน และมีกรรมการอิสระถึง 6 คน

จากที่กล่าวมาทั้งหมดจะเห็นได้ว่าการที่มีผู้ออกมาพูดว่าปตท.เข้าไปถือหุ้นในโรงกลั่นถึง 5 ใน 6 แห่ง แสดงว่ามีการผูกขาดธุรกิจและสามารถครอบงำกิจการโรงกลั่นน้ำมันของประเทศได้นั้นเป็นการตีความที่เกินจริงเพราะยังมีโรงกลั่นฯอีกสามแห่งที่ปตท.ไม่สามารถเข้าไปบริหารสั่งการอะไรได้นั่นคือโรงกลั่น Esso, SPRC และ BCPอีกทั้งที่ระบุว่าการที่ปตท.เข้าไปถือหุ้นโรงกลั่น 5 ใน 6 แห่งทำให้ปตท.ผูกขาดการสั่งน้ำมันดิบเข้ามากลั่นในประเทศได้ทั้งหมดก็ไม่เป็นความจริงอีก เพราะโรงกลั่นทั้งสามแห่งที่ปตท.ไม่ได้เป็นผู้บริหารเขาก็สั่งน้ำมันดิบของเขาเอง ปตท.จะมีสิทธิ์นำน้ำมันดิบเข้ามากลั่นได้ก็เฉพาะในสัดส่วนที่ไม่เกินจำนวนหุ้นที่ตัวเองถืออยู่ ตาม Supply and off take Agreement เท่านั้นอีกทั้งยังต้องมีการตรวจสอบราคาและหรือประมูลผ่านขั้นตอนการจัดซื้อตามระเบียบของโรงกลั่นนั้นๆอีกด้วยอนึ่ง การที่ปตท.เข้าไปมีอำนาจในการบริหารจัดการโรงกลั่นน้ำมัน 3 ใน 6 แห่งนั้นจะเป็นการผูกขาด ตัดตอนหรือทำให้น้ำมันมีราคาแพงเกินจริงหรือไม่คงต้องดูข้อมูลหรือพฤติกรรมอย่างอื่นประกอบด้วยจะเหมาเอาง่ายๆจากการถือหุ้นว่า ถ้าถือหุ้นมากก็แสดงว่าครอบงำได้เมื่อครอบงำได้ย่อมมีพฤติกรรมผูกขาดตัดตอนเอาเปรียบประชาชน

ผมว่ามันจะเป็นการสรุปบนความคิดเห็นส่วนตัวที่ง่ายไปหน่อยและอาจมีอคติได้หรือเปล่าผมเขียนบทความนี้โดยทราบดีว่าเดี๋ยวก็จะมีพวกที่ทนอ่านความคิดเห็นที่แตกต่างจากของตนไม่ได้ ออกมาวิพากษ์วิจารณ์ผมอีกว่าเป็นขี้ข้าปตท.แก้ตัวแทนปตท. รับเงินปตท.มาหรือเปล่าซึ่งผมก็ชินเสียแล้วกับข้อกล่าวหาแบบนี้ ซึ่งถ้าวิพากษ์วิจารณ์กันดีๆใช้เหตุใช้ผลโต้แย้งกัน อ้างอิงข้อมูลตัวเลขมาหักล้างกัน ผมก็จะรับฟังโดยดีแต่ประเภทใช้อารมณ์ด่าว่า ใช้วาจาหยาบคายขึ้นมึงขึ้นกู  คนประเภทนี้อ่านดูก็รู้ระดับสติปัญญาและจิตใจ ผมจึงไม่ถือสาได้แต่แผ่เมตตาอุทิศส่วนกุศลไปให้ และหวังว่าสักวันหนึ่งเขาจะรู้สำนึก

สิ่งที่ผมทำอาจจะฟังดูเหมือนแก้ตัวแทนปตท.แต่ถ้าท่านอ่านและพิเคราะห์ให้ดีๆผมไม่ได้บอกว่าไม่มีการผูกขาดในธุรกิจพลังงานไทยแต่ผมกำลังบอกว่าข้อมูลของฝ่ายที่ระบุว่ามีการผูกขาดในธุรกิจโรงกลั่นน้ำมันนั้นเป็นข้อมูลที่เกินจริง และผมถือว่าสิ่งที่ผมพยายามทำตลอดมา กำลังทำอยู่และจะทำต่อไป ก็คือการให้ข้อมูลที่ถูกต้องกับประชาชน

ผมอาจจะชินกับการถูกด่า แต่ไม่เคยชินกับการบิดเบือนข้อมูลเพื่อให้ตัวเองดูดี เป็นฮีโร่ในสายตาของประชาชนครับ!!!

มนูญศิริวรรณ

อ่านเพิ่มเติมได้ที่ http://www.dailynews.co.th/article/825/202074

Share This: