LPG ชี้เอื้อกลุ่มปิโตรเคมีจริงหรือไม่..แล้วทำไมต้องขึ้นราคาก๊าซแอลพีจี
ปัจจุบันประเทศไทยขาดแคลน LPG!!!! สาเหตุจากปริมาณการใช้ LPG ของภาคครัวเรือน ภาคขนส่งภาคอุตสาหกรรม เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องจากการควบคุมราคา LPG ไว้ต่ำกว่าราคาตลาดโลกและต่ำกว่าเชื้อเพลิงชนิดอื่นเป็นระยะเวลานานมากว่า 30 ปี เป็นภาระต่อกองทุนน้ำมันจำนวนนับหลายแสนล้านบาท แต่อย่างไรก็ตามหลายๆ คนก็ยังตั้งประเด็นสงสัยในเรื่องของLPG ชี้เอื้อกลุ่มปิโตรเคมีจริงหรือไม่ อุตสาหกรรมปิโตรเคมีเกิดขึ้นตั้งแต่ปี 2523 ตามนโยบายรัฐบาลที่ต้องการสนับสนุนให้มีการนำก๊าซธรรมชาติซึ่งเป็นทรัพยากรของประเทศมาใช้เป็นวัตถุดิบตั้งต้นในอุตสาหกรรมปิโตรเคมีเพื่อสร้างมูลค่าเพิ่ม และก่อประโยชน์ได้มากกว่าการนำก๊าซธรรมชาติที่มีคุณค่าไปเผาเป็นเชื้อเพลิง โดยที่ราคาจำหน่ายก๊าซ LPG เป็นวัตถุดิบให้ภาคปิโตรเคมีเป็นไปตาม กลไกตลาด ไม่เคยได้รับการอุดหนุนหรือชดเชยจากภาครัฐนับตั้งแต่อดีต หลักการคำนวณราคาก๊าซฯ และค่าผ่านท่อนั้นได้ผ่านการเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรีและได้เผยแพร่เป็นประกาศโดย กพช. ใน Website สนพ. ตั้งแต่ 2544 รวมทั้งประกาศดังกล่าวได้แนบไว้ในหนังสือชี้ชวนขายหุ้นสามัญ ปตท เพื่อให้นักลงทุนทราบ ดังนั้นไม่มีการรวบรัดจัดทำคู่มือการคำนวณดังกล่าวตามที่กล่าวอ้าง โดยคู่มือเป็นเพียงการระบุให้ลดผลตอบแทนการลงทุนจาก 16% เป็น 12.5% ตามมติคณะรัฐมนตรีเท่านั้น ซึ่งจะทำให้ค่าผ่านท่อใหม่ปรับลดลงเป็นประโยชน์ต่อประชาชน ซึ่งคู่มือมีการเผยแพร่ใน Website เช่นกัน ไม่มีการปิดบังแต่ประการใด
ปัญหาราคาก๊าซหุงต้ม (LPG) นับเป็นปัญหาที่รอการแก้ไขมานานของรัฐบาลชุดต่างๆ ที่ผ่านมา นับตั้งแต่ในปี 2534 รัฐบาลสมัยคุณอานันท์ ปันยารชุน ได้ประกาศยกเลิกการควบคุมราคาน้ำมันทุกชนิดให้ลอยตัวตามตลาดโลก ยกเว้น LPG และต่อมาในปี 2544 ได้ปรับราคา LPG เป็น “กึ่งลอยตัว” โดยยังคงควบคุมราคา ณ โรงกลั่น ซึ่งเป็นราคาขายของผู้ผลิตทั้งจากโรงกลั่นและโรงแยกก๊าซ แต่ปล่อยให้ราคาขายปลีกและค่าการตลาดให้ผู้ค้าก๊าซเป็นผู้กำหนดและต่อมา ในรัฐบาลหลายสมัยได้มีความพยายามแก้ไขปัญหา LPG แต่ก็มีอันเป็นต้องเลื่อนออกไป จนล่าสุดในสมัยรัฐบาล คมช. ดร.ปิยสวัสดิ์ อัมระนันทน์ ก็ได้มีแนวทางแก้ปัญหา โดยยกเลิกการชดเชยพร้อมกับปรับหลักเกณฑ์การคำนวณราคา ณ โรงกลั่นให้สะท้อนต้นทุนผลิตจากโรงแยกก๊าซ (60%) และราคาส่งออก (40%) แต่ต่อมานโยบายดังกล่าวก็ถูกยกเลิกไปในสมัยรัฐบาลคุณสมชาย วงศ์สวัสดิ์
วันนี้ท่ามกลางความสนใจในประเด็นการเสนอปรับราคา LPG ของกระทรวงพลังงานได้เกิดความสับสนและความเข้าใจคลาดเคลื่อนในประเด็นที่มีการเข้าใจผิด ดังนี้
1. มีการเข้าใจผิดที่ว่าประเทศไทยสามารถผลิตก๊าซ LPG ได้เพียงพอและยังเหลือส่งออกอีกด้วยจึงไม่มีความจำเป็นที่จะต้องนำเข้า
ข้อเท็จจริง : ในช่วงไตรมาสแรกของปี 2551 ประเทศไทยยังไม่ประสบปัญหาการขาดแคลน LPG ผู้ผลิตจึงยังมี LPG ส่งออกเฉลี่ย 5,000 ตันต่อเดือน อย่างไรก็ดี ไทยเริ่มขาดแคลน LPG ตั้งแต่เดือนเมษายน 2551 เป็นต้นมา โดยมีปริมาณนำเข้ารวมระหว่างเดือนเมษายน-ธันวาคม 2551 รวม 450,000 ตัน
สำหรับสาเหตุที่ว่า ทำไมไทยยังมีการส่งออก LPG ทั้งๆ ที่ต้องนำเข้าจากต่างประเทศนั้นเป็นเพราะประเทศเพื่อนบ้านไม่สามารถนำเข้า LPG ได้เอง รัฐบาลของประเทศเพื่อนบ้าน อาทิเช่น ลาวและพม่าจึงได้ขอความช่วยเหลือผ่านรัฐบาลไทย ให้ช่วยนำเข้าแทนสำหรับส่งต่อไปยังประเทศผู้ร้องขอ โดยปริมาณนำเข้าเพื่อส่งไปยัง ลาวและพม่า นั้น ผู้นำเข้าจะไม่ได้รับการชดเชยเงินจากกองทุนน้ำมันฯ
2. มีการเข้าใจผิดที่ว่าการขาดแคลน LPG เกิดจากการที่ ปตท.สร้างโรงแยกก๊าซไม่เพียงพอ
ข้อเท็จจริง : การขาดแคลน LPG ในปี 2551 เกิดจากความต้องการ LPG ที่ขยายตัวอย่างรวดเร็วเกินกว่าที่ใครจะคาดการณ์ได้ ซึ่งเป็นผลมาจากการควบคุมราคาของภาครัฐ โดยอยู่ในระดับที่ต่ำกว่าราคาตลาดโลกและประเทศเพื่อนบ้าน โดยในปี 2548-2551 ในขณะที่ราคาน้ำมันปรับสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้การใช้ LPG เป็นเชื้อเพลิงสูงขึ้นถึง 15% โดยเฉพาะในภาคขนส่งสูงขึ้นถึง 37%
ทั้งนี้คงเป็นไปไม่ได้ที่จะสร้างโรงแยกก๊าซเพิ่มขึ้นให้ทันต่อความต้องการดังกล่าว เนื่องจากการก่อสร้างโรงแยกก๊าซจะต้องมีการวางแผนล่วงหน้า และทำการก่อสร้างไม่น้อยกว่า 5 ปี ซึ่งถ้าหากย้อนหลังกลับไปในปลายปี 2547 ตอนเริ่มวางแผนสร้างโรงแยกก๊าซ หน่วยที่ 6 ความต้องการ LPG เป็นเชื้อเพลิงขณะนั้นอยู่ในระดับ 2.2 ล้านตัน และประเทศไทยยังมีการส่งออก LPG ปีละเกือบ 1 ล้านตัน ซึ่งคาดการณ์ในตลาดขณะนั้นว่าเมื่อโรงแยกก๊าซ หน่วยที่ 6 แล้วเสร็จประมาณปี 2553 ปริมาณส่งออกจะสูงถึง 1.8-2.0 ล้านตัน/ปี แต่ในปี 2551 ที่ผ่านมา ความต้องการ LPG เป็นเชื้อเพลิงสูงถึง 3.6 ล้านตัน ทำให้ต้องมีการนำเข้ากว่า 4 แสนตัน ตั้งแต่เดือนเมษายนเป็นต้นมา ซึ่งหากการขยายตัวยังอยู่ในอัตราปัจจุบัน แม้จะมีการขยายโรงแยกก๊าซก็ไม่สามารถรองรับความต้องการที่เพิ่มขึ้น และต้องมีการนำเข้า LPG ต่อไป หากไม่มีการแก้ปัญหาให้ถูกจุด
3. มีการเข้าใจผิดที่ว่าการเสนอปรับขึ้นราคา LPG ในครั้งนี้ เป็นการสวนกระแสกับราคาต้นทุนก๊าซธรรมชาติในตลาดโลกที่ร่วงลงมา 60% จากกลางปีที่ผ่านมา
ข้อเท็จจริง : การขึ้นราคา LPG ในครั้งนี้ ไม่เป็นการสวนกระแสกับราคาก๊าซในตลาดโลกที่ร่วงลงมา 60% จากกลางปีที่ผ่านมา เนื่องจากการเสนอปรับขึ้นราคา LPG ในครั้งนี้ เพื่อแก้ปัญหาที่เรื้อรังมานาน จนทำให้การใช้ LPG บิดเบือน ไม่เกิดประสิทธิภาพ และทำให้ต้องมีการนำเข้าและเป็นภาระของรัฐบาลมากขึ้น แม้ว่าในปัจจุบันราคา LPG ในตลาดโลกลดลงมาอยู่ที่ 380 ดอลลาร์/ตัน แต่หากบวกค่าขนส่งถึงประเทศไทยก็จะอยู่ที่ 430 ดอลลาร์/ตัน และต้องนำมาจำหน่ายในราคาควบคุมที่ 10.996 บาท/กิโลกรัม หรือ 314 ดอลลาร์/ตัน (ณ อัตราแลกเปลี่ยน 35 บาท/ดอลลาร์) ทำให้รัฐยังคงรับภาระอยู่อีกประมาณกว่า 100 ดอลลาร์/ตัน หรือประมาณ 4 บาท/กิโลกรัม ในขณะที่การปรับขึ้นราคาภาคขนส่งและอุตสาหกรรมเพียง 2.70 บาท/กิโลกรัม
4. มีการเข้าใจผิดที่ว่าการเสนอปรับขึ้นราคา LPG 2.70 บาทต่อกิโลกรัมนั้น ผู้ผลิต LPG คือ โรงแยกก๊าซและโรงกลั่น ได้รับประโยชน์ในส่วนนี้
ข้อเท็จจริง : รัฐเป็นผู้รับผลประโยชน์จากการเสนอปรับราคา LPG ดังกล่าวเนื่องจากข้อเสนอของกระทรวงพลังงานในการปรับราคา LPG ขึ้น 2.70 บาท/กิโลกรัม ในภาคขนส่งและอุตสาหกรรมนั้น เป็นการปรับเพิ่มขึ้นของกองทุนน้ำมันฯ จำนวน 2.52 บาท/กิโลกรัม และอีก 0.18 บาท/กิโลกรัมเป็นส่วนของภาษีมูลค่าเพิ่ม โดยผู้ผลิตทั้งโรงแยกก๊าซและโรงกลั่นจะไม่ได้รับประโยชน์ใดๆ จากการขึ้นราคาขายในครั้งนี้แต่ประการใด โดยรัฐยังคงควบคุมโรงแยกก๊าซและโรงกลั่นเท่าเดิมที่ 10.996 บาท/กิโลกรัม หรือ 314 ดอลลาร์/ตัน ซึ่งผู้ผลิตยังคงต้องรับภาระส่วนต่างของราคาตลาดโลกกับราคาควบคุมอยู่ต่อไป
ดังนั้นส่วนต่างของราคาขายปลีกหลังการปรับราคากับราคาตลาดโลก จะเป็นส่วนที่รัฐเก็บในรูปภาษีต่างๆ และกองทุน 6.60 บาท/กิโลกรัม ผู้ค้าน้ำมันตัวแทนจำหน่ายและร้านค้าจะได้ค่าการตลาด 3.30 บาท/กิโลกรัม ในขณะที่ผู้ผลิตต้องรับภาระกว่า 2.30 บาท/กิโลกรัม
สรุปการเสนอปรับราคา LPG ในภาคขนส่งอุตสาหกรรม จึงเป็นเพียงส่วนหนึ่งของนโยบายการแก้ปัญหาราคา LPG และเพื่อให้เกิดการใช้ LPG เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและเกิดประโยชน์ต่อประเทศสูงสุด และลดการนำเข้าโดยผู้ผลิต LPG มิได้มีส่วนได้รับประโยชน์อันใดจากการปรับขึ้นราคาดังกล่าว