ราคาน้ำมันตลาดโลกลด เปิดมุมมองใหม่

เหตุผลที่ราคาน้ำมันตลาดโลกลดแต่ทำไมราคาน้ำมันไทยไม่ลด

น้ำมันดิบหรือปิโตรเลียม จัดอยู่ในสินค้าโภคภัณฑ์ หรือ “Commodity” หมายถึง สินค้าที่ตัวสินค้ามีมาตรฐานเดียวกันทั่วโลก ไม่ว่าใครจะเป็นผู้ผลิตก็ตาม ด้วยเหตุที่สินค้าโภคภัณฑ์มีมาตรฐานเดียวกันทั่วโลก ทำให้ราคาของสินค้าโภคภัณฑ์ถูกกำหนดโดยอุปสงค์และอุปทานของตลาดโลก ส่งผลให้ราคาสินค้าโภคภัณฑ์มีการเปลี่ยนแปลงไปในทิศทางเดียวกันทั่วโลก

ราคาน้ำมันตลาดโลกนั้นได้กำหนดให้น้ำมันดิบหรือปิโตรเลียม ด้วยความเป็นสินค้าโภคภัณฑ์ จึงมีการอ้างอิงราคาตลาดกลาง (ตลาดค้าที่ใหญ่ที่สุดในบริเวณนั้น) โดยมีแหล่งผลิตน้ำมันดิบที่สำคัญในโลก 3 แห่ง ได้แก่ น้ำมันดิบดูไบ (Dubai) น้ำมันดิบเบรนท์ (Brent) และน้ำมันดิบดับบลิวทีไอ (WTI)

ปัจจัยกำหนดราคา Oil Futures
ราคา Oil Futures ปรับเปลี่ยนขึ้นลงทุกวัน ตามการเปลี่ยนแปลงของความต้องการใช้น้ำมันดิบและปริมาณน้ำมันดิบที่คาดการณ์ว่าจะเกิดขึ้นในอนาคต ดังนี้

ความต้องการใช้น้ำมันดิบ (Demand) อาจเพิ่มขึ้นหรือลดลงจาก
– การเจริญเติบโตของเศรษฐกิจ เมื่อเศรษฐกิจอยู่ในช่วงขยายตัว ความต้องการใช้น้้ามันเชื้อเพลิงจะเพิ่มขึ้น และส่งผลให้ความต้องการน้ำมันดิบและราคาน้ำมันดิบปรับตัวเพิ่มตาม ในทางตรงกันข้าม ในภาวะเศรษฐกิจหดตัวหรือภาวะถดถอย กิจกรรมที่ต้องใช้น้ำมันเชื้อเพลิงจะลดลง ความต้องการน้ำมันดิบก็จะลดลง และท้าให้ราคาน้ำมันดิบปรับตัวลดลงตามไปด้วย
– สภาพภูมิอากาศ ความต้องการน้ำมันดิบอาจเปลี่ยนแปลงตามฤดูกาล เช่น ในสหรัฐอเมริกาและยุโรป ซึ่งเป็นผู้ใช้น้ำมันรายใหญ่ จะมีความต้องการใช้น้ำมันเชื้อเพลิงแต่ละประเภทแตกต่างกันไปตามฤดูกาล โดยในฤดูหนาว ความต้องการน้ำมันเพื่อสร้างความอบอุ่นจะสูงขึ้น ในขณะที่ช่วงฤดูร้อน ความต้องการน้ำมันกลับไม่ได้ลดลง แต่เปลี่ยนเป็นความต้องการน้ำมันเชื้อเพลิงเพื่อการท่องเที่ยวสัญจรไปในภูมิภาคต่างๆ แทน

อุปสงค์น้ำมันดิบ (Supply) ขึ้นกับปัจจัยดังนี้
– ปริมาณการผลิตของกลุ่มผู้ผลิตน้ำมัน โดยเฉพาะกลุ่มประเทศผู้ผลิตน้้น้ำมันเพื่อการส่งออก หรือ โอเปก (Organization of Petroleum Exporting Countries: OPEC) ซึ่งมีการรวมตัวกันอย่างเข้มแข็ง ทำให้สามารถควบคุมการผลิตของกลุ่มให้เป็นไปตามนโยบายที่กำหนดไว้ได้ ปริมาณน้ำมันดิบในตลาดโลกจึงมักจะปรับตามนโยบายที่กลุ่มโอเปกได้วางไว้
– ปริมาณน้ำมันสำรองของประเทศผู้ใช้น้ำมันรายใหญ่ เช่น สหรัฐอเมริกา และประเทศในทวีปยุโรป โดยประเทศเหล่านี้จะทำการเก็บสำรองน้ำมันไว้ส่วนหนึ่ง เพื่อสร้างเสถียรภาพและความมั่นคงทางพลังงานภายในประเทศ โดยหากตัวเลขน้ำมันสำรองมีสูง ผู้ใช้น้้ามันและผู้ลงทุนก็จะไม่กังวลว่าปริมาณน้ำมันอาจจะตึงตัว ส่งผลให้ราคาน้้ามันตลาดโลกมีแนวโน้มลดลงได้

นอกจากนี้ ยังมีปัจจัยอื่นที่มีผลต่อราคาน้ำมันดิบนอกเหนือจากราคาน้ำมันตลาดโลกอีก ได้แก่ เทคโนโลยีการผลิต การสร้างแหล่งพลังงานทดแทนเพื่อ ลดความต้องการใช้งานน้ำมันดิบ ภาวะสงครามหรือความไม่สงบในประเทศผู้ผลิตน้ำมันซึ่งส่งผลต่อ ความต่อเนื่องในการผลิตน้ำมันดิบของประเทศนั้นๆ และระดับอัตราแลกเปลี่ยนของประเทศผู้นำเข้าน้ำมันดิบ เช่น ประเทศไทยที่นำเข้าน้ำมันดิบในรูปเงิน
ดอลลาร์สหรัฐ หากค่าเงินบาทอ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับเงินดอลลาร์สหรัฐ ก็จะท้าให้ราคาน้ำมันดิบในรูปเงินบาทสูงขึ้น เป็นต้น

ราคาน้ำมันที่ขายในประเทศไทย นั้นไม่ได้อ้างอิงจากราคาน้ำมันดิบตลาดทั้ง 3 แห่ง หากแต่อ้างอิงแหล่งซื้อตลาดใหญ่ที่ประเทศสิงคโปร์ ซึ่งเหตุผลที่เราต้องใช้สิงคโปร์ในการเป็นแหล่งอ้างอิงนั้น ด้วยเหตุผลว่า เป็นตลาดซื้อขายน้ำมันที่ใหญ่ที่สุดในภูมิภาคนี้ มีกฎหมายที่เข้มงวด มีหลายบริษัท ทำให้อยากต่อการปั่นราคา นอกจากราคาที่เราใช้อ้างอิงจากราคาตลาดนั้นแล้ว เรายังต้องคิด “ค่าขนส่งจากตลาดที่เราอ้างอิง” มาที่ประเทศไทยด้วย ซึ่งยิ่งเราอ้างอิงตลาดน้ำมันที่อยู่ไกลประเทศไทยมากเท่าไหร่ นั้นเท่ากับเสียราคาค่าขนส่งโดยไม่จำเป็นมากเท่านั้น

นอกจากนี้ปริมาณการซื้อขายน้ำมันในประเทศสิงคโปร์ก็สูงเทียบเท่ากับตลาดน้ำมันใหญ่ในโลก อ้างอิงจาก http://www.รู้จริงพลังงานไทย.com/อ้างอิงตลาดสิงคโปร์/ จึงสามารถนำมาราคามาอ้างอิงได้ เมื่อเทียบกับการใช้น้ำมัน ตลาดสิงคโปร์สะท้อนปริมาณการจัดหาและการใช้น้ำมันในเอเชีย และสุดท้ายคือตลาดน้ำมันสิงคโปร์มีความผันผวนน้อยเมื่อเทียบกับตลาดน้ำมันอื่นๆ ซึ่งเหมาะกับระบบเศรษฐกิจของไทย

ในส่วนกรณีที่มีการพูดถึงในโลกโซเชียลว่า ราคาน้ำมันดิบในช่วงปีนี้ลดลงเป็นอย่างมาก เมื่อเทียบกับเวลาเดียวกันนปีที่แล้ว เกิดเป็นคำถามว่า น้ำมันดิบทั่วโลกลด 50% ทำไมน้ำมันไทยจึงลดไม่ถึง 50% …ตรงนี้ทำความเข้าใจก่อนว่าราคาที่ลดลงเป็นราคาน้ำมันดิบ หรือเรียกง่ายๆว่า “วัตถุดิบ” ลด  แต่ส่วนต่างที่สูงและเป็นปัจจัยหลักได้แก่ ภาษีสรรพสามิต กองทุนน้ำมัน ไม่ได้ลดตามลง ด้วยเหตุนี้สัดส่วนราคาหน้าปั๊มในประเทศไทยจึงไม่ลดลงถึง 50% นั่นเอง

Share This: